คุณเคยรู้สึกเบื่อสีทึมๆ ของตู้ โต๊ะ เตียง หรือแม้แต่ของประดับตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านบ้างไหม ตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ เราจ้องมองสิ่งของเหล่านี้บ่อยๆ ด้วยความพึงพอใจ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปความเคยชินกลับทำให้รู้สึกเบื่อรูปแบบเดิมๆ ของมัน วันนี้ M-Art มีศิลปะแนวใหม่มาเอาใจคนขี้เบื่อ แค่ลองหยิบของใช้รอบตัวมาแต่งแต้มลวดลายน่าใช้ด้วยกระดาษหลากรูปแบบ แล้วจะรู้ว่าชีวิตมีสีสันขึ้นได้อีกเยอะเลย อีกไม่กี่อาทิตย์จะเปลี่ยนพ.ศ. แล้ว หลายคนกำลังนับถอยหลัง และคิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้คนสำคัญดี ส่วนบางคนกำลังมองหาของแต่งบ้านเพื่อเพิ่มสีสันต้อนรับปีใหม่ “เดคูพาจ” อาจเป็นตัวเลือกชั้นดีในช่วงเวลานี้ นา สิรินทร์นารถ ศิริชยาพร ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับศิลปะแฮนด์เมดสไตล์ยุโรปชนิดนี้ จะมาแนะนำให้เราได้รู้จักกัน รักแรกพบ “เดคูพาจ” (Decoupage) ชื่อนี้อาจยังไม่คุ้นหูนักสำหรับคนไทย แต่ในต่างประเทศได้รับความนิยมและมีการเปิดสอนอย่างจริงจังมาหลายปีแล้ว ถ้าให้อธิบายสั้นๆ ว่าศิลปะชนิดนี้คืออะไร นา สิรินทร์นารถ ผู้หลงรักศิลปะสัญชาติฝรั่งเศสบอกว่า “คือการตกแต่งด้วยกระดาษสไตล์วินเทจบนพื้นที่ต่างๆ ที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง บานพับ หรือแม้แต่ของกระจุกกระจิกอย่างกล่องแว่นตา กระเป๋า ตะกร้า แจกัน ก็ทำได้ทั้งนั้น” ถามว่าอะไรทำให้อาจารย์นาหลงรักศิลปะชนิดนี้ถึงขั้นออกมาเปิดสถาบันสอนเอง เธอบอกว่าเป็นเพราะความรักตั้งแต่แรกพบ รักแรกพบไม่ได้เกิดขึ้นกับหนุ่มๆ สาวๆ เท่านั้น แต่เกิดกับวงการศิลปะได้ด้วย เช้าวันหนึ่งขณะกำลังขับรถอยู่บนเส้นทางเดิมๆ จากที่คุณนาไม่เคยสังเกตร้านข้างทางมาก่อน แต่เมื่อรถติดเธอจึงมองไปรอบๆ และเกิดสะดุดตาเข้ากับสิ่งของบนชั้นโชว์ของในร้านจัดดอกไม้เล็กๆ ร้านหนึ่ง เป็นถาดใส่ผลไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ แต่โดดเด่นด้วยลวดลายดอกไม้สไตล์วินเทจ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าลวดลายที่เห็นเกิดจากวิธีตกแต่งตามรูปแบบที่เรียกว่าเดคูพาจ แต่คุณนาก็ตัดสินใจแน่วแน่ตั้งแต่นาทีแรกที่ได้เห็นว่าจะหัดเรียนและสร้างผลงานของตัวเองขึ้นมาให้ได้ “ตอนแรกไม่รู้เลยว่าทำมาจากอะไร คิดว่าเป็นงานเพนต์หรือเปล่าไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าชอบมาก ก็เลยตัดสินใจหาที่จอดรถลงไปถามเจ้าของร้านเดี๋ยวนั้นเลย ถึงได้รู้ว่ามันคือเดคูพาจ พี่ก็บอกเขาว่าขอเรียนด้วยได้ไหม ตอนนั้นเขายังไม่เปิดสอนเลยปฏิเสธเราไป แต่พี่ก็ไม่ละความพยายาม ผ่านไปเมื่อไหร่ก็เทียวไปถามตลอด ไปขอเรียนตั้งแต่ยังตั้งท้องลูกได้ 4-5 เดือน จนลูกคนที่สองอายุเกือบ 10 ขวบได้เขาถึงเปิดสอน คิดดูว่าพี่ชอบขนาดไหน” คุณนาท้าวความให้ฟัง หลังจากเรียนจนจบคอร์ส ด้วยฝีมือการทำที่ประณีตและโดดเด่นกว่านักเรียนคนอื่นๆ จนได้สมญานามว่าเป็น “คุณนายละเอียด” อาจารย์จึงแนะนำให้คุณนาออกมาเปิดสถาบันสอนเองเพื่อส่งต่อความรู้ที่มีในศิลปะด้านนี้ให้กระจายวงกว้างมากขึ้น แต่ตอนนั้นเธอมีภาระเรื่องดูแลร้านอาหาร บวกกับยังอยากสะสมประสบการณ์ให้มากกว่าที่มีอยู่ จึงชะงักโครงการไว้ก่อน กระทั่งลองผิดลองถูกเป็นเวลา 7 ปี และมีพี่สาวเข้ามาดูแลร้านอาหารแทน จึงตัดสินใจเปิดสถาบันชื่อ “B’ My Art” ขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง อยู่ที่ความชอบ ไม่ใช่พรสวรรค์ เห็นลวดลายสวยๆ งามๆ แบบนี้ คงช่วยจูงใจให้หลายคนอยากลองเรียนรู้วิธีการทำขึ้นมาบ้าง แต่บางรายอาจถอดใจไปแล้วก็ได้โดยเฉพาะคนที่ไม่สันทัดเรื่องศิลปะเอาเสียเลย เรื่องนี้อาจารย์นายืนยันว่าไม่ต้องกลัวและไม่ต้องเกร็ง เพราะก่อนหน้านี้เธอก็เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน และถ้าวัดจากความสามารถด้านการวาดรูปและวิชาศิลปะตอนเด็กๆ อาจกล่าวได้ว่าเริ่มจากติดลบกันเลยทีเดียว แต่ที่มีฝีมืออย่างทุกวันนี้ได้เกิดจากการฝึกฝนและมีความตั้งใจ ที่สำคัญ “เป็นเพราะชอบค่ะ” เธอตอบสั้นๆ ก่อนจะเริ่มยกตัวอย่างช่วงชีวิตวัยเด็กให้ฟัง “ตอนเด็กๆ โรงเรียนจะมีสอนศิลปะ แล้วตอนเรียนวาดรูปนี่เป็นอะไรที่ทุกข์ทรมานสำหรับพี่มากเพราะเราวาดไม่เป็น ครูบอกให้วาดภาพเหมือน เราก็วาดหน้าคนกลมๆ ตัวก็เก้งๆ ก้างๆ ส่งเขาไป จำได้ว่าส่งไปทีไรก็จะโดนครูว่า โดนให้วาดซ่อมตลอดเลย ตอนนั้นเบื่อมาก ไม่ชอบวิชาศิลปะเลย รู้สึกว่าตัวเองวาดไม่เก่งเหมือนเพื่อนคนอื่น พอโตขึ้นหน่อยได้เรียนวิชาระบายสีถึงรู้สึกดีขึ้น ค้นพบว่าตัวเองเป็นคนชอบลงสี รู้สึกว่ามันดี ได้แต้มสีไปเรื่อยๆ ตามใจอยาก ไม่ต้องติดอยู่กับกรอบ ไม่ต้องทำให้เหมือนแบบเป๊ะๆ อย่างตอนวาดภาพ” ครูนาขยายความต่อ “พอมีโอกาสได้เรียนเดคูพาจเลยลองฮึดสู้ดูเพราะคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ต้องเก่งศิลปะอะไรมากมาย แค่เอากระดาษที่มีลวดลายอยู่แล้วมาประดับตกแต่งของที่ต้องการ แล้วก็เรียนรู้เทคนิคการทำนิดหน่อยก็สามารถทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เก่งศิลปะหรือคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ไม่ต้องกลัวค่ะ แค่มีความชอบ แค่เริ่มจากความรู้สึกอยากทำก่อนก็พอ ไม่เชื่อลองทำดูสิคะ” ว่าแล้วคุณครูคนเก่งก็หยิบอุปกรณ์ทุกอย่างขึ้นมาเตรียมและชักชวนให้เราทำไปพร้อมๆ กันทีละขั้นตอน ลองทำดู เริ่มจากการเลือกวัสดุที่ต้องการตกแต่งก่อน เพื่อให้ง่ายต่อมือใหม่จะมีไม้บอร์ดอัดสำเร็จรูปเอาไว้ให้ฝึกมือ เมื่อลองทำได้สักระยะจนชำนาญแล้วอาจเปลี่ยนเป็นวัสดุอื่นได้ในภายหลัง คุณครูนาเลือกหยิบกล่องใส่ของก้นลึกทรงสี่เหลี่ยมมาสาธิตให้เราดู หลังจากเช็ดด้วยผ้าหมาดและขัดด้วยกระดาษทรายจนเนื้อไม้เนียนได้ที่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทาสี “นี่คือสีอะคริลิกเฉพาะงานชนิดนี้ค่ะ เราจะไม่นิยมใช้สีทาบ้านเพราะกลิ่นฉุนเกินไป” ครูนาอธิบายไปทำไปเป็นระยะ เสร็จสิ้นการทำแต่ละด้าน นำไปเป่าไดร์ให้แห้งแล้วทาทับอีกหนึ่งรอบ ก่อนเริ่มขั้นตอนถัดไป คนช่างเลือกมักชื่นชอบขั้นตอนนี้ “การเลือกกระดาษ” นอกจากต้องเลือกลวดลายที่โดนใจเจ้าของผลงานที่สุดแล้ว เนื้อกระดาษเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่มองข้ามไม่ได้เลย ในท้องตลาดของไทยยังไม่มีการระบุลงไปแน่ชัดว่ากระดาษชนิดไหนถูกสร้างมาเพื่อใช้กับเดคูพาจ เนื่องจากยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก หากเลือกผิดอาจได้ลวดลายสวยงามแต่เนื้อบางเกินกว่าจะใช้งานได้จริง ในระยะเริ่มต้นจึงแนะนำให้มาเรียนกับผู้รู้ก่อน ผิดถูกอย่างไรจะได้มีคนให้คำปรึกษา ไม่เสียเงินทดลองเองเปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะวัสดุที่ใช้ในศิลปะชนิดนี้เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ส่วนกระดาษที่นำมาใช้ได้ก็แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามเนื้อกระดาษ มีทั้งแบบทิชชู กระดาษสา กระดาษการ์ด กระดาษอาร์ต ฯลฯ เมื่อเลือกได้จึงทากาวที่กระดาษ ติดเข้ากับเนื้อไม้ ปรับแต่งส่วนเกินและนำไปเป่าไดร์ จากนั้นทาทับด้วยน้ำยาเคลือบพิเศษเพื่อป้องกันการหลุดเลื่อนของลายกระดาษ ให้คงสภาพให้ใช้ไปได้นานๆ นำไปเป่าให้แห้งอีกรอบก็เป็นอันเสร็จพิธี แต่ถ้าอยากให้ใช้ได้ทนจริงๆ อาจต่อเติมด้วยขั้นตอนเคลือบเรซินโดยการเผาไฟหรือการขึ้นสเปรย์ แต่ทั้งสองวิธีค่อนข้างยุ่งยากและอันตรายจึงขอสงวนไว้ให้ลูกศิษย์บางรายที่มีทักษะสูงดีกว่า แค่ทำตามคำแนะนำของครูนาไม่กี่ขั้นตอนก็ได้กล่องไม้สวยๆ ลวดลายน่ารักสมใจแล้ว ต้องบอกว่าเดคูพาจง่ายกว่าที่คิดไว้จริงๆ ขนาดว่าทีมงานไม่มีฝีมือด้านงานประดิษฐ์ หัดครั้งแรกยังทำได้เลย ส่วนเรื่องสวยไม่สวยนี่ คุณครูใจดีบอกว่าถ้าลองเรียนจริงๆ จังๆ แล้วจะได้เรียนรู้เรื่องการตกแต่ง เก็บงานอย่างละเอียด จนได้ผลงานแบบประณีตๆ กลับไปฝากคนสำคัญเอง ดัดแปลงศิลปะราคาแพงให้เข้ากับชีวิต ทั้งตัวกระดาษ สี กาว น้ำยาเคลือบ ฯลฯ ที่ใช้ในงานชนิดนี้เป็นสินค้านำเข้าทั้งนั้น เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องราคา ครูนาก็พูดกับเราอย่างเปิดอก “ยอมรับว่าเดคูพาจเป็นศิลปะราคาแพงค่ะ โดยเฉพาะคนที่หลงใหลกับมันมากๆ นี่ กระเป๋าแฟบได้ง่ายๆ เลย (หัวเราะ)” เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่คิดจะเรียนไปเพื่อทำขายตามท้องตลาด คงต้องกำหนดราคาให้สูงพอสมควรจึงสามารถถอนทุนคืนได้ หรืออาจแก้ปัญหาโดยการขายผ่านระบบออนไลน์ให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติแทน เพราะต่างประเทศให้คุณค่ากับสินค้าทำมือมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า เจ้าของสถาบันสอนศิลปะเดคูพาจบอกว่าตัวเองไม่ค่อยมีหัวด้านการค้าเท่าใดนัก จึงไม่ได้คิดเรื่องกำไรขาดทุนและการค้าขายเป็นหลัก ที่เปิดสอนทุกวันนี้ก็เพราะความชอบและอยากให้ศิลปะชนิดนี้แพร่หลายในสังคมไทยอย่างที่นิยมกันในหลายประเทศมานานแล้ว เมื่อถามว่ามีวิธีลดค่าใช้จ่ายอย่างไร ครูนาก็เริ่มงัดเอากลเม็ดทั้งหมดมาเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง ถ้าความรู้ของเธอสามารถช่วยคนที่หลงใหลในศิลปะชนิดนี้อีกหลายคนได้ เธอบอกว่ายินดีให้ทำตามได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ “ถ้าซื้อกระดาษที่ใช้ทำเดคูพาจขนาดเท่ากับใช้ห่อของขวัญ แผ่นหนึ่งจะตก 100-200 กว่าบาท หรืออาจมีที่แพงกว่านั้นเพราะต้องนำเข้ามา ถ้าคนที่อยากลดต้นทุนแนะนำให้ลองมองหาลวดลายที่ตัวเองชอบตามที่ต่างๆ อย่างพี่เคยเจอดอกไม้ในหน้านิตยสารแล้วชอบมาก ก็เอาไปถ่ายเอกสารเลย แต่ต้องถ่ายลงกระดาษอาร์ตนะ เอามาใช้ได้เหมือนกัน ราคาถูกกว่าไปหาซื้อตามห้างด้วยซ้ำ หรือถ้าอยากประหยัดจริงๆ ก็ตัดลายที่อยากได้มาจากหน้านิตยสารเลย เพราะนิตยสารเดี๋ยวนี้เขาพิมพ์ลงกระดาษอาร์ตมันกันหมดแล้ว” วัสดุที่นำมาประดับตกแต่ง ถ้ารู้จักเลือกซื้อก็ช่วยประหยัดไปได้อีกเยอะ ช่วงหลังๆ นี้คุณนาเองก็พยายามมองหาสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย เช่น กระเป๋าสาน พัดสาน หมวก และสินค้าโอทอปฝีมือชาวบ้านอีกหลายอย่าง นอกจากจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังถือเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกให้เข้ากับบ้านเราด้วย หรือจะหยิบเอาของใช้ที่มีอยู่อย่าง โต๊ะ ตู้ เตียง กล่องใส่แว่นตา ฯลฯ มาทำ ก็ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ของเก่าๆ ได้อีกวิธี ทำเสร็จจะเก็บไว้เชยชมหรือเอาไปขาย ก็ถือว่าคุ้มทั้งนั้น อย่างที่คุณนาทำมาแล้ว “กล่องไม้ตัวนี้มันเสียแล้ว ผุมาก บวมน้ำด้วย ตอนนั้นอยู่ว่างๆ เลยลองทำเดคูพาจดู หลังจากตกแต่งเคลือบน้ำยาเสร็จสรรพ ไม่น่าเชื่อว่าสภาพดูแข็งแรงขึ้นตั้งเยอะ ตอนนี้ก็ใช้งานได้ตามปกติ อาจเป็นเพราะตัวน้ำยาช่วยเคลือบให้เนื้อแน่นขึ้น มีคนมาขอซื้อด้วยนะ แต่พี่ก็ไม่ได้ขาย เก็บไว้ตั้งโชว์ที่บ้านแทน” ผู้มีประสบการณ์เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ ศิลปะของฉัน “B' My Art” ดัดแปลงไปใช้กับวัสดุรอบตัวได้หลายอย่างแบบนี้ อาจทำให้ต่อมอยากทดลองของหลายคนทำงานขึ้นมาบ้างแล้ว ถามว่าถ้าสมัครเป็นลูกศิษย์ ครูนาจะมีวิธีสอนแบบไหน คุณครูหน้าหมวยตอบทันทีว่า“เน้นปฏิบัติจริงค่ะ” จากวันแรกถึงวันสุดท้ายรับรองว่าได้ผลงานกลับไปเชยชมทุกครั้งที่มาเรียนแน่นอน เพราะคนสอนถือคติว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกำลังใจของคนที่มาเรียน ถึงแรกๆ จะทำเละตุ้มเป๊ะขนาดไหน แต่กลับบ้านเมื่อไหร่จะได้งานฝีมือตัวเองติดมือไปด้วยชิ้นหนึ่ง คนทำก็จะภูมิใจ มีกำลังใจอยากทำอยากมาเรียนครั้งหน้าค่ะ” ตอนนี้มีนักเรียนเริ่มเข้ามาเรียนกับครูนาบ้างแล้ว ตั้งแต่เด็กอายุ 10 ขวบ เรื่อยไปจนถึงระดับคุณหญิงคุณนายกันเลย เรียกได้ว่าเจอลูกศิษย์มาหลากหลายรูปแบบพอสมควร ถ้าเป็นเด็ก คุณครูจะปล่อยให้น้องๆ ได้แปะปะติดและละเลงตามใจชอบ มีแนะนำบ้างตามประสา แต่ไม่ถึงกับบังคับจับมือทำ เพราะนอกจากจะทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นจินตนาการของเขาด้วย ส่วนรุ่นที่โตแล้ว ครูนาใช้วิธีสังเกตจากลักษณะนิสัยของคนคนนั้นและแนะนำตามความเหมาะสม “อย่างเราเห็นคนนี้ออกแนวหวานๆ หน่อย ก็จะดูว่าเขาหวานระดับไหน ถ้าหวานอาโนเนะก็จะเลือกแนวการ์ตูนผู้หญิงๆ ให้ ถ้าหวานแบบชอบดอกไม้ พี่ก็จะช่วยหาดอกไม้มาให้เขาเลือก เพราะแค่ลายดอกไม้อย่างเดียวก็มีหลายแบบหลายสี ก็จะพยายามแนะนำไป ถ้ายังไม่ถูกใจก็ให้เขาเดินเลือกเองได้เลยตามสบาย” เจ้าของสถาบันศิลปะยิ้มไม่หุบเมื่อพูดถึงลูกศิษย์ ส่วนมือใหม่ที่ไม่มีฝีมือด้านศิลปะเลยก็ไม่ต้องกังวลไป คุณครูใจดีคนนี้บอกว่า “ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นค่ะ เรื่องของศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูก สิ่งที่เราทำออกมามันก็คือศิลปะของเรา อย่างที่พี่ตั้งชื่อว่า B' My Art นั่นแหละค่ะ อยากให้คนที่มาเรียนได้ทำศิลปะในรูปแบบของตัวเอง จะปะติดแต่งแต้มตรงไหนตามใจชอบ ไม่ต้องอายไม่ต้องเคอะเขิน แล้วเราก็จะมีความสุขค่ะ” ครูนาแจกยิ้มกว้างคล้ายต้องการบอกเป็นนัยว่าเดคูพาจทำให้เธอมีความสุขได้จริงๆ ส่วนจะทำให้คนอื่นมีความสุขได้แค่ไหน คงต้องรอให้ลองมาพิสูจน์กัน |
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555
ตัด-แปะ-ปะ-ติด สวยหรูด้วยกระดาษ (บทความโดย M-Art )
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น